1 ปลามีอาการว่ายแฉลบหรือไม่, โดดขึ้นสบัดตัวเหนือน้ำหรือไม่, สะบัดเหงือกส่ายไปมาอย่างแรงหรือไม่(โดยเฉพาะในปลาใหญ่) ถ้ามีอาการอย่างหนึ่งอย่างใด สันนิษฐานขั้นต้นว่า ปลาโดนปรสิตหรือโปรโตซัวทำร้ายเสียแล้ว ซึ่งก็มีหลายชนิด ปลาจะแสดงอาการผิดปรกติแตกต่างกัน
2 อาการถัดมา ตายุบ ตาปูด เกล็ดพอง ช้ำเลือด หุบครีบว่าย หรือหุบครีบนอนนิ่ง ครีบเปลื่อย หางเปลื่อย ฯลฯ แต่ละอาการแสดงถึงการติดเชื้อที่แตกต่างกัน อาจเป็นแบคทีเรีย หรือ ไวรัส
3 หากมีอาการทั้งข้อ 1 และ 2 อาการอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายๆอย่าง การรักษาทำได้โดยการเตรียมน้ำใหม่ที่สะอาดบริสุทธิ์ ผมไม่แนะนำให้ใส่ฟอร์มาลีน+มาราไคท์ ในทันที ถ้าไม่จำเป็น น้ำสะอาดกับเกลือ 1 ก.ก. ต่อตันเป็นการเริ่มต้นการรักษาที่ดีพอ อ๊อคซิเจนต้องมากพอ ถ้ามีระบบกรองสำหรับอ่างรักษาได้ยิ่งดี ควรเป็นกรองกายภาพเท่านั้น ไม่ต้องมีกรองชีวภาพ เพราะอาจมีเชื้อโรคติดอยู่ในระบบกรองชีวภาพเก่า เอาง่ายๆแค่ถังกรองกับใยกรองขาว กรองละเอียดล้างน้ำสะอาดหรือแช่ด่างทับทิมแล้วเป็นพอครับ
4 การให้ยาควรแบ่งเป็น 2 ประเภท ประเภทแรกยากลุ่มที่ออกฤทธิ์ถ่ายพยาธิ์ หรือฆ่าปรสิต โปรโตซัว, ประเภทที่ 2 ยาปฏิชีวนะ สำหรับปลาเล็กไม่เกินไซด์ 4 ผมแนะนำให้ใช้ซันฟาก่อนเป็นอันดับแรก ปลาใหญ่ขึ้นแนะนำให้ใช้ เอ็นโรฟอกซาซิน หรือ นอร์ฟอกซาซิน การให้ยาปฏิชีวนะจะต้องให้ติดต่อกันไม่ต่ำกว่า 5 วัน ไม่เกิน 10 วัน เพื่อป้องกันเชื้อโรคดื้อยา เรื่องยาปฏิชีวนะนี้อาจเป็นที่ถกเถียงหาข้อสรุปกันมากว่าตัวนี้รักษาโรคนี้ ตัวนั้นรักษาโรคนั้น อันที่จริงไม่มีใครทราบหลอกครับว่า ปลาในบ่อของคุณ ที่ติดเชื้อนั้นเชื้อตัวดังกล่าว แพ้ยาอะไร หรือ ดื้อยาอะไร วิธีการเดียวที่จะรู้ได้ชัดเจน ต้องส่งปลาป่วยหรือขูดเมือกปลาไปตรวจพิสูจน์ ด้วยการทดลองให้ยาปฏิชีวนะทุกประเภทที่ต้องการตรวจสอบในจานเพาะเชื้อที่ได้ จากเมือกปลา หรือเลือดปลาเท่านั้น ขั้นตอนนี้ใช้เวลาหลายวันครับ พอดีปลาตายยกบ่อซะก่อน
5 ดังนั้นการให้ยาปฏิชีวนะจึงควรให้ยาในกลุ่มที่กล่าวถึงในข้อ 4 ซึ่งเป็นยาที่ไม่เก่านัก และราคาไม่แพงเกินไป จะใส่ในอ่างรักษาหรือบ่อยาง หรือจะคลุกอาหารให้ปลากินก็ได้ ผมแนะนำว่า ถ้าปลายังกินได้ คลุกอาหารให้กินดีที่สุด เคลือบไคโตซานหรือสารเหนียวคลุมให้ยาติดเม็ดอาหารได้ยิ่งดี ได้ผลดีกว่าการละลายยาในน้ำ ซึ่งเปลืองยา และยาบางชนิด ทำให้น้ำเสียอีกด้วย
6 การแช่ด่างทับทิม หรือเกลือเข้มข้น หรือฟอร์มาลีน+มาลาไคท์ ก็สามารถทำได้โดยมีฤทธิ์ในการทำลายแบคทีเลียและปรสิต โปรโตซัว บางชนิด แต่ขอให้ใช้เป็นวิธีท้ายๆ เนื่องจากมีผลข้างเคียงต่อตัวปลามาก ด่างทับทิมอาจทำให้เหงือกปลาเสียหาย เกลือเข้มข้นอาจทำให้ผิวปลาเสียสีปลาซีดเบลอ ฟอร์มาลีน+มาลาไคท์ สร้างผลเสียกับระบบภายในตัวปลาทำให้การเจริญเติบโตชะงักงัน ตาปูดโปนเหตุจากการแพ้สารเคมีซึ่งเข้าสู่ลำไส้และอวัยวะภายใน
7 สรุป เมื่อปลาป่วย โดยเฉพาะหน้าฝนนี้ป่วยกันมาก ควรกักโรคปลาใหม่ทุกครั้งและให้ยาฆ่าเห็บ ปรสิตโปรโตซัว หรือยาถ่ายพยาธิ์ ตามโดสของยาแต่ละชนิด พร้อมทั้งคลุกอาหารเคลือบยาปฏิชีวนะให้ปลาใหม่และปลาเก่ากินพร้อมๆกัน ตัวอย่าง ถ้าผมนำปลาใหม่เข้าที่บ้าน 100 ตัว ผมจะแยกอ่างกัก แยกกระชอนและอุปกรณ์เครื่องใช้ ไม่ปนกับปลาในบ่อเลี้ยงเด็ดขาด ถ้าจะใช้ร่วมอุปกรณ์แต่ละอย่างนั้นต้องตากแดดแห้งสนิท ผมจะคลุกยาถ่ายพยาธิ ผสมกับยาปฏิชีวนะ เคลือบเม็ดอาหารด้วยไคโตซาน ให้ปลากินติดต่อกัน 3 วัน กี่มื้อก็ได้ เพราะปลาแต่ละตัวจะมีอัตราการกินที่แตกต่างกันตามน้ำหนักตัวปลาอยู่แล้ว ปลาใหญ่กินมากก็รับยามากกว่าปลาเล็ก ให้ได้ทั้งวันครับ ในอัตราอาหารที่ให้ปรกติต่อวัน เมื่อครบ 3 วัน เข้าวันที่ 4 คลุกเฉพาะยาปฏิชีวนะตัวเดิมเพิ่ม เคลือบไคโตซานแล้วให้ปลาต่อทั้งในบ่อเลี้ยงปลาเก่าและอ่างกักปลาใหม่ ให้จนครบ 5-7 วัน ถ้ายังมีปลาใหม่อาการล่อแล่ แยกฝูง หุบครีบเหงาหงอย เติมเกลือนิดหน่อยในอ่างกัก แล้วให้ยาปฏิชีวนะต่ออีก 3 วันเป็น 10 วัน ปลาส่วนใหญ่เมื่อผ่านโดสเท่านี้ก็เพียงพอแข็งแรงพร้อมลงบ่อเลี้ยงได้แล้ว ครับ
สูตรใครก็สูตรใครนะครับ แต่ละท่านอาจมีวิธีการไม่เหมือนกัน ที่เล่าให้ฟังนี่วิธีของผมครับ เพราะเอาปลาใหม่เข้าบ่อมาหลายรอบแล้ว ถ้ามีพลิกแฉลบบ้างก็เอาอยู่ก่อนเสียหายได้ทุกทีครับ แต่กว่าจะดูอาการปลาได้เท่าทุกวันนี้ก็ผ่านการฝังปลาโคนมะม่วงมาไม่น้อยแล้ว หละครับ หน้าฝนนี้ ล้างกรองบ่อยหน่อย เช็คน้ำสังเกตุน้ำ สังเกตุอาการปลาบ่อยๆครับ ขอให้โชคดีครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น